top of page

สหกรณ์ของชุมชน “ช่วยกันทำ ปันกันกิน”

  • พระสุวรรณ คเวสโก
  • Oct 3, 2017
  • 2 min read

“ทำวัดให้เป็นสหกรณ์ของชุมชน” คำที่นำเราไปรู้จักกับวัดในแบบที่ชาวบ้านเข้ามาร่วมกันเป็นเจ้าของ ออกแรงกายออกแรงใจ ร่วมมือกันคิดทำงานอย่างสมัครใจ เพื่อสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับชีวิตและชุมชนตนเอง เพื่อมีอาชีพการงาน มีสุขภาพที่ดี มีความเป็นมิตรไมตรีแบ่งปันกัน ทำให้ชุมชนได้อยู่ดีมีสุข มีชีวิตที่งอกงามยิ่งขึ้น เราจึงพากันเดินทางไปเรียนรู้ที่ วัดป่ายาง ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดย พระอธิการเสรี คเวสโก หรือหลวงพ่อสุวรรณ ผู้ที่ได้ใช้ความเป็นนักคิดนักวิเคราะห์ทางสังคม จากการเป็น “สหายเก่า” กับแก่นธรรมะมาเป็นแนวทางและรูปธรรมในการสร้างศรัทธาใจ สานความร่วมมือให้คนในชุมชนได้ลุกขึ้นมารวมกัน กล้าคิด กล้าลงมือทำ เชื่อมั่นในพลังของตน โดยจัดตั้ง “ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ วัดป่ายาง” เป็นพื้นที่ของการดำเนินกิจกรรม ทั้งงานเครือข่ายสัจจะสะสมทรัพย์ ทำเกษตรผสมผสาน พึ่งตนด้วยแก๊สชีวภาพ โรงปุ๋ยชีวภาพ โรงผลิตน้ำดื่ม ร้านค้าสวัสดิการ อโรคยาอาลาภา ฯลฯ และจัดฝึกอบรมสร้างคนให้มีความเป็นผู้นำ ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของความร่วมมือเป็น “สหกรณ์ของชุมชน” ซึ่งได้ผลกำไรที่มากกว่าความเป็นตัวเงิน

เดินทาง--ตามรู้ “ร้านค้าปันกันกิน โรงสมุนไพร โรงสี โรงน้ำ โรงปุ๋ย” เรามองดูบรรยากาศและชีวิตผู้คนโดยรอบที่ท่ารถตู้ตัวเมืองนครศรีธรรมราชด้วยความสนใจเป็นพิเศษ ด้วยเพราะมาเยือนจังหวัดนี้เป็นครั้งแรก ไม่นานนักหลวงพ่อสุวรรณก็นำรถมารับเราสองคน ท่านดูตื่นตัวและท่าทีมุ่งมั่น รถพาเราออกจากตัวเมือง เปลี่ยนสองข้างทางจากตึกราบ้านช่องเป็นท้องทุ่งและกลายเป็นดงสวน เรามารู้ตัวอีกทีรถก็วิ่งไปถึงบริเวณวัดป่ายาง หลวงพ่อพาเราไปวนดูจุดที่เป็นที่ตั้งของโรงผลิตน้ำ จากนั้นก็วนกลับมาผ่านศาลาอีก 2-3 แห่ง ผ่านโบสถ์สีขาว และมาหยุดจอดที่หน้าร้านค้าฯที่ตั้งอยู่ใกล้ทางสัญจรเข้าออกวัด เราใช้ช่วงเวลาแรกเดินเข้าไปสำรวจในร้านค้า มองไปรอบๆภายในร้านเพื่อดูสินค้าข้าวของที่นำมาวางขายอยู่ตามชั้น สายตาเราสะดุดกับสินค้าหลายชิ้นที่ห่อหุ้มดูแปลกตากว่าร้านค้าทั่วไป จนได้เอื้อมมือไปหยิบเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมขนาดย่อมๆเท่าฝ่ามือขึ้นมาดู มีข้อความเขียนประมาณว่า “สบู่ส่วนผสมจากธรรมชาติ โดยศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ วัดป่ายาง” พร้อมกับรายละเอียดของสรรพคุณการใช้ หลังจากวางก้อนสบู่ลงเราก็เดินสำรวจไปทั่วร้าน และได้หยุดทักทายกับพี่สาวที่เป็นคนอยู่ดูแลหน้าร้าน ทำให้รู้ว่าร้านค้าแห่งนี้เป็น “ร้านค้าสวัสดิการของเครือข่ายสัจจะฯ” ที่ใช้เป็นแหล่งวางจำหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตขึ้นเองของศูนย์ฯ อาทิ สบู่สมุนไพร น้ำยาสระผม น้ำยาล้างจาน ปุ๋ยน้ำชีวภาพ กากน้ำตาล รวมไปถึงสินค้าและเครื่องมือเครื่องใช้อื่นๆที่จำเป็นจากภายนอก สำหรับรายได้หรือกำไรที่ได้จากร้านค้าฯนี้ เราได้เห็นจากป้ายที่ติดไว้หน้าร้านว่า เป็นส่วนหนึ่งของรายรับที่เข้าในการบริหารจัดการของศูนย์ฯ ซึ่งยังมีรายรับจากการขายน้ำของโรงน้ำดื่มตรา “บ้านเรา” จากการขายปุ๋ยตรา “ดอกลำดวน” จากโรงสีข้าว จากการจัดงานฝึกอบรมฯ ส่วนรายจ่ายได้ใช้สำหรับค่าดูแลวัด และที่สำคัญเป็นค่าตอบแทนสำหรับคนทำงานประจำในศูนย์ จำนวน 11 คน ที่เกือบทั้งหมดเป็นคนในท้องถิ่น โดยหลายคนทำงานเติบโตมากับศูนย์นับสิบปี รวมไปถึงค่าใช้จ่ายของหลวงพ่อสุวรรณที่ใช้จ่ายในการบริหารและประสานการทำงาน เรียกได้ว่าศูนย์ฯแห่งนี้สามารถมีทุนหล่อเลี้ยงได้จากน้ำพักน้ำแรงของคณะทำงาน โดยแทบไม่ต้องพึ่งพาการเขียนโครงการ ที่ต้องวิ่งไปหาขอทุนจากที่อื่นๆ

หลวงพ่อสุวรรณใช้คำที่เป็นวิธีการบริหารการอยู่ร่วมนี้ว่า “ช่วยกันทำ ปันกันกิน” เราออกเดินดูกิจกรรมของศูนย์ฯที่ตั้งอยู่โดยรอบวัดป่ายางอีกครั้งในเช้าวันต่อมา ซึ่งได้พี่สาวทั้ง 2 คนจากร้านค้าฯ มาพาเดินเช่นเคย จุดเริ่มต้นที่เราแวะไปคือ “อโรคยาอาลาภา” ที่นี้เป็นศาลาหลังใหญ่ที่ให้บริการทางด้านสุขภาพตามแนวสมุนไพรพึ่งตนเอง โดยมีห้องอบสุมไพรอยู่สองด้านของศาลา แยกเป็นห้องชายและห้องหญิง ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน มีป้ายใหญ่เขียนไว้ด้านบนห้องอบสมุนไพรว่า “ไม่เก็บเงิน ไม่เก็บทอง ทำบุญปีละครั้ง(ทอดกฐิน) สมุนไพรและไม้ฟืนเอามาเอง” และข้อความที่บอกถึงชนิดของสมุนไพรที่นำมาใช้ในการต้ม ประโยชน์ ข้อควรระวังและข้อปฏิบัติ หลังจากยืนดูยืนแล้ว อ่านเราก็ทดลองเข้าไปอยู่ในห้องอบฯช่วงสั้นๆ เห็นภายในห้องทำขึ้นอย่างมาตราฐานและมีความสะอาดอย่างมากในการใช้งาน จากนั้นเราก็ลองมาดื่มน้ำต้มสมุนไพร เพียง 1 แก้วก็ได้รสชาติหอมเข้มข้น และรู้สึกกระตุ้นไปถึงพลังภายในทีเดียวเชียว ถัดมาก็มีจุดแช่มือแช่เท้า น้ำมันทานวด โดยได้ความกรุณาจาก หลวงตาชื่น อาทโร ได้บรรยาแนะนำหลักการดูแลและรักษาตนเองเบื้องต้นด้วยสมุนไพร และป้ายสุดท้ายที่เราเห็นประกาศไว้ว่า “โครงการปฏิบัติธรรม ล้างพิษกาย สลายพิษใจ” อบรม 5 วัน โดยอยู่ตลอดที่วัด หลวงพ่อสุวรรณได้บอกกับเราว่า โรงสุขภาพที่เปิดขึ้นได้มีชาวบ้านทั้งในถิ่นและต่างถิ่นต่างมากันทุกวันอย่างน้อย 50-70 คน เวียนกันเข้ามาใช้บริการ ทำให้โรงสมุนไพรแห่งนี้กลายเป็นชุมชนย่อมๆของผู้รักในสุขภาพได้มาพบปะทักทายกัน โรงปุ๋ย เป็นศาลาที่มีขนาดกว้างใหญ่ อยู่ถัดจากโรงสมุนไพรมาเล็กน้อย เราเข้าไปเดินดูด้านในมองเห็นถุงปุ๋ยที่บรรจุเสร็จแล้ววางซ้อนกันอยู่ร่วมร้อยถุง ส่วนที่เป็นพื้นปูนกว้างตลอดโรงงาน กำลังตากปุ๋ยที่ปั้นเป็นเมล็ดแล้วให้แห้งสนิท และด้านในโรงปุ๋ยตั้งเครื่องที่เป็นจานปั้นปุ๋ยขนาดใหญ่ 2 เครื่อง โรงปุ๋ยนี้ได้ใช้เป็นฐานเรียนรู้ในช่วงอบรมของศูนย์ฯเพื่อให้เกษตรกรรู้วิธีทำปุ๋ยชีวิภาพด้วยตนเอง หรือการเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยชีวภาพด้วยการซื้อสำเร็จรูป ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรที่สนใจทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรอินทรีย์ได้เริ่มต้นทดลอง โดยลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพงและต้องเพิ่มจำนวนการใช้มากขึ้นๆเมื่อดินเสื่อมสภาพลง โรงปุ๋ยนี้ยังเป็นแหล่งสร้างรายที่สำคัญของศูนย์ฯ อีกด้วย สมัยที่ปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยจุลินทรีย์เริ่มผลิตขายกันใหม่ๆ ช่วงปี 2547-2548 ทางภาคใต้ก็ถือวัดป่ายางเป็นแห่งแรกๆที่มีจำหน่าย หลวงพ่อสุวรรณเล่าว่า ตอนนั้นทางศูนย์ผลิตขายได้ถึงปีละกว่า 9 ล้านบาท เริ่มต้นจากการไปดูงานกับอาจารย์ยักษ์ (วิวัฒน์ ศัลย์กำธร) ที่โรงงานทำปุ๋ยแถบอยุธยา เมื่อโรงงานรู้ว่าหลวงพ่อส่งเสริมเรื่องเกษตรอินทรีย์ก็เลยถวายจานปั้นเม็ดปุ๋ยมาให้ กลับมาจึงได้เริ่มต้น หลวงพ่อบอกว่าตอนนั้นรถดูดส้วมไม่ต้องไปไว้ที่ไหนเลยวัดป่ายางรับหมด จากนั้นก็มีการขยายงานและมีการพัฒนาสูตรปุ๋ยมาต่อเนื่อง โดยได้ทางศรีษอโศกคอยช่วย และก็ค่อยๆลดจำนวนการผลิตลงเพราะมีโรงานปุ๋ยหลายแห่งผลิตออกขายมากขึ้น ส่วนผสมหลักอย่างหนึ่งของการทำปุ๋ยชีวภาพคือ “กากน้ำตาล” เราเห็นถังขนาดใบใหญ่มากเท่าถังขนส่งน้ำมันตามปั๊มตั้งอยู่ใกล้ๆกับร้านค้าจำนวน 2 ใบ หลวงพ่อสุวรรณเล่าว่าเริ่มต้นเพราะ คุณอาคม อาสาสมัครในกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ จ.ตราด ได้ถวายกากน้ำตาลมาให้ 50 ตัน ตอนนั้นจึงได้นำมาจำหน่ายจนได้กำไร ก็สั่งมาต่อเนื่องมาตลอด โรงสีข้าว เป็นโรงสีขนาดย่อม ตั้งอยู่ติดกับโรงสุขภาพเช่นกัน คอยให้บริการสีข้าวเปลือกให้ชาวบ้าน ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วมาก และทำให้ทางศูนย์นอกจากได้รายได้แล้วยังได้รำข้าว และแกลบมาใช้ในการทำปุ๋ยอีกด้วย เรียกว่ามีระบบการครบเป็นวงจรในศูนย์ญที่เดียว โรงน้ำ เป็นส่วนที่เราเพียงนั่งรถผ่าน ซึ่งปัจจุบันนอกจากจะผลิตน้ำจำหน่ายแล้ว ยังใช้เป็นสวัสดิการช่วยในงานศพให้กับสมาชิกสัจจะฯที่มาจัดงานอยู่ที่วัดอีกด้วย การก่อตั้งโรงน้ำนี้ถือเป็นการให้บทเรียนกับหลวงพ่อสุวรรณอย่างมาก เพราะคิดไปว่าน้ำจะขายดีเป็นรายได้อีกทางให้กับทางศูนย์ฯโดยนำเงินในเครืองข่ายสัจจะฯเข้ามาถือหุ้น แต่ด้วยความรู้ไม่พอถึงการแข่งขันที่มีมากกว่าที่คิดและต้องลงทุนมาก ทำให้โรงน้ำขาดทุน หลวงพ่อจึงเข้ามารับผิดชอบด้วยทุนของตนเองฯ

ปฏิบัติการ--รู้เรียน “นักสร้างชุมชน บ่มเพาะปัญญา” งานฝึกอบรม สร้างคนให้เป็นนักสร้างชุมชน ระหว่างที่เดินดูกิจกรรมในเช้าวันนี้ เราได้เห็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีฯกลุ่มใหญ่เดินทางมาศึกษาดูงานที่ศูนย์ฯ ด้วย เรานึกในใจว่าคงจะดีถ้าคนรุ่นใหม่นี้บางคนเกิดแรงบันดาลใจนำทักษะวิชาความรู้เหล่านี้ไปใช้ในครอบครัวหรือชุมชนตนเอง หลวงพ่อบอกว่าที่ผ่านมามีคนมาผ่านการอบรมที่ศูนย์แห่งนี้รวมแล้วกว่าหมื่นคนนะ ช่วงที่มีมามากๆก็ปี 49-52 ตอนนั้นมาจากโครงการของกระทรวงเกษตรฯ และของ ธกส. (ธนาคารเกษตรและสหกรณ์ฯ) เรื่องที่ศูนย์จัดอบรมให้โดยทั่วไปเป็นเรื่องแก๊สชีวภาพ เรื่องเผาถ่าน เรื่องทำปุ๋ย เรื่องสบู่ ทำถั่วงอก และหลวงพ่อก็ชี้ไปที่ถังถั่วงอกที่แช่ไว้ “พรุ่งนี้และมะรืนนี้ก็มาอีก เขามาดูงาน ทำถั่วงอกให้เขาดู คนที่เป็นวิทยากรก็คนทำงานในศูนย์นี่แหละทำเองหมด” ช่วงหลังนี้งานอบรมที่ศูนย์ฯได้เน้นที่กลุ่มสมาชิกเครือข่ายสัจจะฯที่ยังมีจำนวนเป็นหมื่นคน เป็นกลุ่มที่ทำต่อเนื่องและได้ผล ท่านใช้คำว่า “กัดไม่ปล่อย” คือสามารถไปเจอได้ทุกเดือนและมีการคุยกันประจำ หรือถ้าเขามีปัญหาอะไรก็สามารถมาหาหลวงพ่อได้ตลอด เป้าหมายหลักของการอบรมที่ให้สมาชิกกลุ่มสัจจะหลวงพ่อบอกว่ายังอบรมเรื่องกสิกรรม และทักษะต่างๆในการกลับไปพึ่งพาตนเองให้ได้ แต่ทั้งหมดนำไปสู่การการพัฒนาคุณธรรม ซึ่งแตกต่างจากการอบรมแบบผ่านมาและผ่านไป ส่วนใหญ่คาดหวังไม่ได้มากเพราะติดตามผลไม่ได้ เครือข่ายสัจจะสะสมทรัพย์ บ่มเพาะปัญญาจากการรวมคน สิ่งที่โดดเด่นน่าสนใจในการเรียนรู้จากหลวงพ่อสุวรรณก็คือ การเน้นให้เกิด “กระบวนการทางปัญญา” ขึ้นในการรวมกลุ่มสัจจะฯ เพื่อเป็นรากฐานของความมีคุณธรรม ซึ่งเป็นการที่เน้นให้ชาวบ้านได้เห็นว่า “การออมเพื่อเป็นบุญ พอออมบุญแล้ว คนที่กู้ไปให้ถือว่ากู้เงินบุญไป เมื่อกู้ไปแล้วก็ต้องทำบุญคืนคือเสียเป็นดอกเบี้ยมา กลุ่มก็นำมาจัดการแบ่งส่วนหนึ่งเป็นการปันผลให้สมาชิกเจ้าของเงิน อีกส่วนหนึ่งก็เข้ากองทุนสวัสดิการ เพื่อช่วยคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เป็นการให้เป็นบุญเป็นทาน แล้วพอสุดท้ายคนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องทำบุญด้วยๆการลดละเลิกสิ่งชั่วร้าย ทำดีไว้ฝากลูกทำถูกไว้ฝากหลาน สร้างรากฐานไว้กับชุมชน นี่คือเป้าหมายสูงสุด” เราได้นึกภาพตามแนวคิดที่ทำให้ตัวเงินที่มีอยู่กลายเป็นสิ่งที่เอาไว้คอยช่วยเหลือระหว่างกัน หรือ “เป็นบุญ” ซึ่งยังมีกระบวนการในช่วงการพิจารณาปล่อยเงินกู้ ท่านบอกว่าต้องดูเป้าหมายของผู้กู้ให้ชัดเจนว่านำไปใช้เพื่ออะไร ช่วงที่คุยคนค้ำก็ต้องมารับรู้พร้อมกัน และหลังจากนั้นเมื่อกรรมการทำบัญชีทั้งหมดแล้ว ก็ต้องมาถอดบทเรียนร่วมกัน ตลอดกระบวนการต้องทำให้เกิดเป้าหมายในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ปลอดจากอบายมุข สำหรับเรื่องกองทุนสวัสดิการ หลวงพ่อเล่าว่าทุกกลุ่มจ่ายเหมือนกันหมด ดูแลตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ พอเด็กเกิดปั๊บให้ 1,000 แล้วก็เอามาเป็นสมาชิกเลย คนแก่เดือนละ 100, 130, 140 ต่อเดือน นอนโรงพยาบาลคืนละ 700 บาท สูงสุด 18 คืน ส่วนเรื่องตาย มี 2 ระบบ ถ้าทำศพที่บ้าน 13,000 บาท ต่อศพ แต่ถ้ามาทำที่วัด 25,000 บาท และได้น้ำฟรีหมด ที่กำหนดให้จ่ายค่าทำศพที่วัดสูงกว่าเป็นเพราะต้องการให้งานศพได้งดเว้นอบายมุขและการพนัน ส่วนในระดับกลุ่มใหญ่ที่มีการประชุมทุกครึ่งปีและประจำปี

นอกจะมีการรายงานผลการดำเนินงานแล้ว จะมีการตั้งประเด็นที่กลุ่มสนใจให้สมาชิกแบ่งกลุ่มอภิปรายกัน เช่น กู้ไปแล้วเราจะทำอย่างไรให้มีอนาคต ไปสร้างงาน ไปสร้างรายได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์และได้แง่มุมจากการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ซึ่งหลวงพ่อจะลงไปเตรียมประชุมกับกรรมการก่อนหนึ่งวัน ไปวางแผนว่าจะทำอะไร จะจัดการอย่างไรทั้งหมด เพื่อให้สมาชิกและกรรมการคึกคักมากที่สุด พอเช้าขึ้นมา “โอ้ยสนุก การประชุมแบบนี้สนุกมากเลย ลองคิดดูเริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้า พอเลิกอีกที 4-5 โมงเย็น อย่าคิดว่าสมาชิกเขาเบื่อ เขาไม่เบื่อเลย สนุก ให้เขาพูดกันเอง เขาจัดกลุ่มกันเอง เขาพูดอภิปรายกันเอง อภิปรายในหัวข้อที่กลุ่มต้องการให้พูด” เมื่อถามไปถึงความเป็นมาของงานสัจจะฯที่เกิดขึ้น ก็ได้รู้ว่าเริ่มต้นหลังจากที่หลวงพ่อได้เข้ามาบวชและทำงานพัฒนาวัดตั้งแต่ปี 38 โดยปรับปรุงอาคารสถานที่ สร้างโบสถ์ สร้างศาลา เพื่อเป็นการทำให้ชุมชนได้เห็นและเกิดการยอมรับศรัทธา จากนั้นจึงคิดตั้งกลุ่มสัจจะฯเป็นการทำงานเชิงองค์กรขึ้น โดยเริ่มแรกหลวงพ่อสุวรรณได้ทดสอบศรัทธาที่มีกับชาวบ้านก่อน ด้วยการขอเงินชาวบ้านคนละ 100 บาท ไม่ให้ชาวบ้านถามว่าจะเอาไปทำอะไร ท่านตั้งเป้าหมายว่าให้ได้ 3,000 บาท แต่เก็บเงินจริงได้ถึง 8,000 กว่าบาท จึงได้เชิญคนรู้จักจากบ้านคีรีวงมาช่วยเริ่มก่อตั้ง ซึ่งช่วงนั้นตั้งเป็นกองทุนขึ้นชื่อว่า "กลุ่มเมตตาธรรม" เข้าปลายปี พ.ศ. 2541 ทางธนาคารออมสินมีโครงการจัดอบรมสัจจะสะสมทรัพย์โดยเชิญพระสงฆ์จากทั่วประเทศ หลวงพ่อเป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสไปเข้าร่วมและขณะเดินทางอยู่บนเครื่องบินก็ได้ฟังพระรูปอื่นเล่าถึงงานสัจจะฯ ตอนนั้นท่านก็ปิ๊งเลยกลางอากาศ เมื่อได้กลับมาที่ชุมชนก็เริ่มต้นตั้งกลุ่มสัจจะฯและปรับเงินกองทุนที่มีอยู่ตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการ 18,000 กว่าบาท ซึ่งวันนี้มีเงินถึง 8 ล้าน หลังจากนั้นพระอาจารย์สุบินฯ ได้แนะนำว่าควรตั้งหลายๆกลุ่ม จึงได้ขยายกลุ่มต่อเนื่องจนมีถึง 23 กลุ่ม และตั้งเป็น "เครือข่ายกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ เพื่อพัฒนาคุณธรรมครบวงจรชีวิต จังหวัดนครศรีธรรมราช"

มองโลก--มองชีวิต “ความเข้าใจถูกต้อง ฆ่าอัตตาตัวตน หมู่บ้านอริยะ ช่วงระยะ 2 ปีหลังนี้ หลังจากที่หลวงพ่อป่วยต้องพักรักษาตัวและสุขภาพดีขึ้น ได้มาศึกษาธรรมะและปฏิบัติเข้มข้นขึ้น นำมาสู่การปรับวิธีคิดวิธีการทำงาน โดยใช้หลัก “ความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือ สัมมาทิฐิ” มาเป็นกระบวนการขับเคลื่อนทางปัญญาในกลุ่มสัจจะฯ คือ การปล่อยเงินแบบสัมมาทิฐิ การจัดสวัสดิการแบบสัมมาทิฐิ การรับสมาชิกแบบสัมมาทิฐิ และใช้วิธี “การบริหารแบบอริยะ” หมายถึงบริหารแบบไม่เห็นแก่ตัว โดยเป็นงานหลักที่ทำต่อเนื่องตลอดทั้งปี จนเกิดเห็นผลที่ชัดเจนกับสมาชิก กลุ่มไหนที่มีปัญหาก็มีวิธีแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น มีกำลังใจและความเชื่อมั่น เราได้ย้อนถามหลวงพ่อไปถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิตที่ทำให้มาเป็นพระสงฆ์เพื่อสังคม หลวงพ่อเล่าว่า เพราะเป็นอดีต "สหายเก่า" ตอนที่รู้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ รู้สึกคิดหนักเพราะตัวเองประกาศอุดมการณ์ในการต่อสู้ไว้อย่างหนักแน่น และได้ทุ่มเทอย่างมาก เมื่อถอยออกจากป่าก็มาออกรถตระเวณค้าขายเล็กๆและผลไม้ ก็เห็นว่าชาวบ้านยังยากจนลำบาก ยังถูกขูดรีดถูดเอารัดเอาเปรียบเหมือนเดิม ส่วนสหายบางคนก็ไปเป็นโจรบ้าง มือปืนบ้าง ท่านจึงรู้สึกว่าจะนั่งเฉยอยู่ได้อย่างไร และได้กลับมาตรึกตรองถึงสิ่งที่เคยมีอุดมการณ์ในการรับใช้ประชาชน “ภารกิจเรายังไม่เสร็จ” ท่านบอกถึงสิ่งที่ยังข้างอยู่ในใจ จึงเดินทางกลับมายังวัดป่ายางซึ่งเคยเป็นฐานที่ตั้งสมัยยังอยู่ป่า และได้มีโอกาสพูดคุยธรรมะกับท่านเจ้าอาวาสและได้รับหนังสือ “คู่มือมนุษย์” ติดตัวมา จากนั้นก็เก็บไว้ผ่านมา 4 ปี จึงมีโอกาสหยิบขึ้นมาอ่าน “โยมเอ๋ย เหมือนกับหัวอกถูกระเบิดเลย กว้างขวางที่สุดเลย โอ๊ว นี่แหละ” เป็นความเข้าใจที่ท่านได้ค้นพบจากหนังสือ แล้วท่านก็ออกเดินทางไปสวนโมกข์ทันที ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมและที่สำคัญได้ฟังจากท่านอาจารย์พุทธทาสที่บอกว่า “นักปฏิวัติส่วนใหญ่นั้นของเก๊ ของจริงคือพระพุทธเจ้า คือนักปฏิวัติ แต่ฆ่าคนนะ เราก็สงสัยว่าฆ่าคน ท่านก็บอกว่า ฆ่าอัตตา ฆ่าตัวตน โอ้โห! มันบานแจ๋เลย” หลังจากนั้นหลวงพ่อสุวรรณก็มาฝึกฝนปฏิบัติต่อเพราะเห็นว่านี่คือทางรอดของมนุษย์ จนตัดสินใจออกบวชมาอยู่ที่วัดป่ายาง เมื่อท่านได้มาเข้าบวชโดยใช้ธรรมะมาเป็นแนวทางในการทำงานชุมชน หลวงพ่อบอกว่าก็ได้ใช้ประโยชน์จากหลักคิดที่เรียกว่าวิธีคิดวิพากษ์วิธี ในการเอามาวิเคราะห์ทางสังคม วิเคราะห์เรื่องการบริหารจัดการและการทำงาน และเมื่อได้มารู้จักวิธีคิดทางพุทธศาสนาเข้าไปอีก ทำให้เหมือนได้จบถึงสองศาสตร์ มีข้อได้เปรียบในการเป็นนักเรียนรู้และค้นคว้า และถือเป็นกำไรที่ชีวิตได้รับ ทั้งนี้ได้เห็นว่าแต่ก่อนสมัยที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์มีเป้าหมายคือ ต้องการรวมมวลชนเพื่อไปต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำเป็นการรวมมวลชนเพื่อมาต่อสู้ ต่อสู้กับตัวเอง พัฒนาตัวเองให้เป็นอริยบุคคล ซึ่งเป็นเป้าหมายที่หลวงพ่อต้องการเห็น “หมู่บ้านอริยะ คือหมู่บ้านที่ปลอดจากสิ่งชั่วร้าย ไม่มีเล่น ไม่มีเหล้า ไม่มีลักขโมย ไม่มีหมด” ด้วยการเดินทางของศรัทธาใจ และหลักคิดที่ตั้งอยู่บนฐานแห่งความเข้าใจ ได้สานกันเป็นกระบวนการทางปัญญาและการบริหารโดยมุ่งประโยชน์ส่วนรวม งานกิจกรรมต่างๆแห่งวัดป่ายางในวันนี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ชุมชนได้เข้ามาร่วมมือกันคิด ร่วมกันกำหนด สร้างเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ชีวิตของหลายๆคนในชุมชน วัดจึงได้เป็นเหมือน “สหกรณ์” ที่มีความหมายกว้างขวางครอบคลุมตลอดชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ และตาย ตลอดถึงก้าวเดินเข้าถึงบุญ และงอกงามในความมนุษย์ ดังหนังสือ “คู่มือมนุษย์”

 
 
 

Comments


Featured Posts
Check back soon
Once posts are published, you’ll see them here.
Recent Posts
Archive
Search By Tags
Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square

ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ

วัดป่ายาง โครงการรวมกันทำปันกันกิน

โทร.
081-087-5978

ที่ทำการเครือข่าย
วัดป่ายาง หมู่ 4 ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

คนสร้างชาติ - คาราบาว
00:00 / 00:00
bottom of page